โรงงานรับผลิตครีมกันแดด พร้อมดีลที่ดีที่สุด

1. เลือกโรงงานผลิตครีมกันแดดที่ใช่

ลองดูโรงงานที่มีความน่าเชื่อถือสูง และเป็นมืออาชีพ พิจารณาจากโรงงานมีการขึ้นทะเบียนการค้าสามารถตรวจสอบได้ ,มีใบรับรองที่ได้มาตรฐานสามารถอ้างอิง, บริการแบบ One stop service, มีผู้เชี่ยวชาญดูแลทุกขั้นตอน, มีสูตรหลายหลายและนักพัฒนาสูตร, มีผลงานจริงให้ดู และมีราคาสมเหตุสมผล

2. เลือกสูตรครีมกันแดดที่ชอบ

โรงงานแต่ละที่จะมีสูตรครีมต่าง ๆ ให้เลือกหลากหลาย คุณสามารถขอซื้อตัวอย่างไปทดลองใช้ก่อนได้ แล้วเลือกสูตรที่ชอบ แต่ถ้าคุณไม่อยากให้แบรนด์ของคุณซ้ำกับใครก็สามารถจ้างทีมวิจัยคิดค้นสูตรขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน

3. ส่งกันแดดไปวิเคราะห์ค่า SPF และ PA

หากสินค้าของเรามีเอกสารยืนยันค่า SPF และ PA ด้วยก็จะทำให้แบรนด์ของเราดูมีความน่าเชื่อถือสูงขึ้นไปอีก โดยสามารรถส่งกันแดดไปวิเคราะห์ค่า SPF และ PA ได้ที่แล็ป ก็จะได้เอกสารมาภายใต้ชื่อแบรนด์ และ ชื่อสินค้าที่เราต้องการขึ้นทะเบียน ทำให้เรามีเอกสารไว้ยืนยันและสนับสนุนการขาย

4. ยื่นขอจดขึ้นทะเบียน อย.

เมื่อมีเอกสารวิเคราะห์ค่า SPF และ PA แล้ว ก็จะสามารถขึ้นทะเบียนสินค้าครีมกันแดดภายใต้ชื่อแบรนด์และชื่อสินค้าได้ ซึ่งการยื่นจดขออย. จะใช้เวลาอยู่ที่ 15 ถึง 45 วัน ขึ้นกับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ อย.

5. เลือกบรรจุภัณฑ์

บรรจุภัณฑ์ครีมกันแดดนอกจากจะมีดีไซน์ที่สวยงาม แข็งแรง และตรงตามคอนเซปต์ของแบรนด์เราแล้ว ก็ควรเลือกรูปแบบที่สามารถพกพาได้ง่าย ใช้สะดวกด้วยเพราะเป็นสินค้าจำพวกที่ลูกค้าจะต้องใช้บ่อย ๆ และใช้ระหว่างวัน ซึ่งส่วนมาจะนิยมใช้แบบหลอด

6. ผลิตสินค้า

หลังจากได้ทะเบียน มีบรรจุภัณฑ์ และ ฉลากบรรจุภัณฑ์แล้ว ก็สามารถเริ่มขั้นตอนการผลิตได้เลย ซึ่งจะใช้เวลาในการผลิตราว ๆ 1 – 2 เดือนขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของตัวสินค้าและความยากง่ายของบรรจุภัณฑ์

รังสี UV คืออะไร

ก่อนอื่นเราต้องมาลองทำความรู้จักรังสี UV หรือที่เขาเรียกกันว่ารังสี Ultraviolet นั่นเอง แต่รังสีที่มีผลต่อผิวหนังค่อนข้างมากและชัดเจนคือ รังสี UV-A (ความยาวคลื่นอยู่ในช่วง 320–400 nm) และ UV-B (มีช่วงความยาวคลื่น 290–320 nm) โทษของรังสีเหล่านี้คือ เมื่อรังสี UV-A สามารถทะลุผ่านผิวหนังถึงชั้นหนังแท้ จะเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อคอลลาเจนและเส้นใยอิลาสติก ทำให้เซลล์ผิวเกิดภาวะแก่ก่อนวัย ทำให้เกิดริ้วรอยและปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา ส่วนรังสี UV-B เมื่อได้รับเป็นเวลานานจะทำให้ผิวหนังบวมแดง พองและลอกออก เกิดอาการไหม้แดด (sunburn) และในระยะก็อาจส่งผลให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้

ค่า SPF คืออะไร

SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor คือค่าของการปกป้องแสงแดด ส่วนตัวเลขของ SPF บ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากการถูกเผาไหม้จากแสงแดด ได้นานเท่าไหร่ กล่าวคือยิ่ง SPF มาก ก็ยิ่งมีระยะเวลาในการกันแดดนานขึ้น ซึ่งการหาค่า SPF ทำได้โดยนำตัวเลข SPF คูณกับ 10 หรือ 15 จะได้เวลาที่ครีมกันแดดนั้นสามารถกันแดดได้ เช่น ครีมกันแดดของคุณมี SPF 50 นั่นหมายถึงครีมกันแดดจะมีมีฤทธิ์นานถึง 750 นาที หรือ ราว ๆ 12 ชั่วโมง แต่ถึงแม้ มีฤทธิ์นานแต่ตัวครีมถูกเหงื่อชะออกไปหมดแล้ว จึงเป็นสาเหตุที่ต้องทาซ้ำทุก ๆสองชั่วโมง นอกจากนี้ค่า SPF สูง ๆ นั้นจะก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่ายอีกด้วย

ค่า PA คืออะไร

ค่า PA หรือ Protection grade of UVA คือ คือ ค่าการป้องกันรังสี UVA ซึ่งวัดประสิทธิภาพในการป้องกันอาการดำคล้ำของผิวหนังที่เกิดจากรังสี UV-A ยิ่งมี PA บวกมากก็ยิ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันมาก โดยสามารถดูได้ดังนี้

• PA+ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA เริ่มต้น
• PA++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA กลาง
• PA+++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูง
• PA++++ หมายถึง มีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA สูงสุด

1. เนื้อครีม

เนื้อครีมกันแดดยอดนิยมที่สามารถพบได้ทั่วไปตามท้องตลาด ข้อดีคือ สามารถปรับเนื้อให้ให้ข้นหนืด ให้บางเบา ให้มีความมันน้อยได้ง่าย แต่ข้อเสียคือไม่ค่อยกันน้ำ และเหงื่อ

2. ครีมกันแดดผสมรองพื้น

ครีมกันแดดเนื้อรองพื้น คือครีมกันแดดที่ผสมลงไปในเครื่องสำอาง ข้อดีคือทำให้เกลี่ยง่าย ปกปิดริ้วรอย รอยด่างดำ ได้ค่อนข้างดี ใช้ได้สะดวกสำหรับคนที่ชอบแต่งหน้า สามารถเกาะติดกับผิวได้ดีในระดับหนึ่ง ข้อเสียคืออาจไม่เหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่ไม่ชอบแต่งหน้า และอาจจะทำให้รู้สึกมันได้ระหว่างวันได้

3. เนื้อเจล

รูปแบบจะคล้ายครีมกันแดดเนื้อครีม แต่ให้รู้สึกบางเบากว่าข้อดีคือ เนื้อเจลจะรู้สึกบางเบา แต่มีข้อเสียคือ มักจะไม่ค่อยกันน้ำ

4. เนื้อโลชั่น

ครีมกันแดดประเภทนี้จะมีความเหลวกว่าเนื้อครีม ข้อดีคือ เนื้อเหลว ทาง่าย ไม่ค่อยรู้สึกมัน ข้อเสียคือ เนื้อครีมตกตะกอน หรือ แยกชั้นกันได้ง่าย และเวลาทาครีมกันแดดประเภทนี้จะต้องเขย่าก่อนเสมอเพื่อให้เนื้อครีมกลับมาเป็นเนื้อเดียวกัน

5. สเปรย์กันแดด

เป็นการนำเนื้อครีม มาบรรจุในรู้แบบสเปรย์ ซึ่งบรรจุสารผลักดันที่มีสถานะเป็นแก๊ส เมื่อกดก็จะสเปรย์พ้นออกมาเป็นละอองฝอยๆ ข้อดี คือ คือใช้ง่าย สะดวก ข้อเสียคือต้นทุนสูง เพราะต้องผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน และมีความยุ่งยาก