โรงงานรับผลิตเครื่องสำอาง พร้อมดีลที่ดีที่สุด 2566

เมื่อมองย้อนกลับไปปีที่แล้ว คุณจะพบว่าเทรนด์การแต่งหน้านั้นสร้างสรรค์และทำให้ไม่ว่าเพศใดต่างสนุกสนานกับศิลปะบนใบหน้า ตั้งแต่การวาดอายไลน์เนอร์เป็นรูปต่าง ๆ การแต่งหน้าสุดคิ้วทางจีนอย่างโดยินที่เน้นความน่ารักและกลิตเตอร์เป็นประกายเหมือนกับอยู่ในโลกแฟนตาซี ในปีปัจจุบันเราเห็นการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ที่สร้างขึ้นบนรากฐานที่วางไว้ในปีก่อนหน้า ต่อไปนี้คือภาพรวมของเทรนด์เครื่องสําอางที่คาดว่าจะโดดเด่นในปี 2024 ไปดูกันเถอะว่ามีอะไรบ้าง

 

1. เน้นผิวที่ดูสวยงามอย่างธรรมชาติ

เรียกได้ว่างานผิวที่ดูสดใสโกลว์เป็นธรรมชาติ ไม่โบกรองพื้นจนหนาเกินไปยังคงเป็นเทรนด์ที่ฮอตฮิตจนถึงปี 2024 โดยเน้นการบำรุงผิว ลงไพรม์เมอร์เพื่อรักษาความชุ่มชื้น แตะคอนชีลเลอร์เล็กน้อย และใช้คุชชั่นที่ปกปิดผิวเบาบางอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่การแต่งตาและคิ้วแต่งเเต้มเพียงเล็กน้อย แม้เรียบง่ายแต่ยังคงมีความสวยคลาสสิค ดูเป็นธรรมชาติที่สุด

2. เทรนด์ปี 2000’s กลับมาบูมอีกครั้ง

เป็นดังที่คาดการณ์ว่ากระแสเทรนด์ Y2K ยังคงไม่แผ่วลงในปีนี้ โดยคนรุ่นใหม่ได้ผสานเข้ากันจากสองยุค คือ ยุค 90’s และยุคต้นปี 2000’s ที่เน้นลิปกลอสแวววาว ตาสีสันสดใสประกายมุก และกลิตเตอร์วิบวับเล่นกับแสง ด้วยการผสมผสานทั้งหมดนี้เกิดเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครระหว่างอดีตและปัจจุบันอย่างลงตัว

3. คิ้วหลากหลายตามรสนิยม

ตามความนิยมในรูปแบบคิ้วต่างๆ ในปี 2023 – 2024 นําความหลากหลายนี้ไปสู่ขีดสุด ในปีนี้ไม่มีเทรนด์คิ้วเด่นชัดเพียงเทรนด์เดียว ตรงกันข้ามเราจะเห็นผู้คนแต่งรุปแบบขนคิ้วฟูธรรมชาติ คิวโก่งแบบเส้นเดียวสไตล์กรันดจ์ จนไปถึงการเขียนคิ้วคลาสสิคที่เข้ากับรูปใบหน้า กระแสนิยมไม่จำกัดแค่รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งอีกต่อไป และเห็นได้ในหลาย ๆ คนที่ปรับแต่งคิ้วให้เข้ากับใบหน้าและบุคลิกของตนเอง

4. สีแก้มคูลโทนสดใส

กระแสปัดแก้มใต้ตาให้ดูอ่อนกว่าไวและไร้เดียงสายังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพิ่มเติมในปี 2024 คือการใช้สี cool tone ทำให้ดูอ่อนหวานยิ่งขึ้นและปัดกลางแกล้มกับสันจมูก โดยเน้นสร้างโทนผิวละมุน เปล่งปลั่งดั่งบ่มแดด โดย สีที่ได้รับความนิยม ได้แก่ สีพีช ส้มสด และชมพูอ่อน ซึ่งถูกใช้อย่างลงตัวและเป็นธรรมชาติ

5. ลิปกลอสช่วยให้ปากดูอวบอิ่ม

ในปี 2023 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ผู้คนเปิดหน้ากากและวิวัฒนาการของลิปติกก็พัฒนาได้ขีดสุด ไม่ว่าจะรูปแบบเปลี่ยนสีตามอุณหภูมิ เป็นกลอสแวววาวแต่ไม่หลุดลอก หรือสร้างโอเวอร์ไลน์ทำให้ปากดูอวบอิ่ม ในปีนี้เทรนด์ลิปจะเน้นไปที่สูตรที่ทนนานขึ้นและยังคงความชุ่มชื้น โดยเฉพาะลิปกลอสและทิ้นต์มีอัตราการเติบโตในตลาดเครื่องสำอางค์มาก และสีสันที่น่าจับตาในปีนี้ตั้งแต่สีแบล็คเบอร์รี่จนไปถึงชมพูใสวาวใกล้เคียงกับสีปากธรรมชาติ ที่สร้างลุคเด่นตามไลฟ์สไตล์ส่วนตัวของผู้ใช้

6. ยอมรับความงามของตนเอง

อีกสิ่งที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น คือเทรนด์ที่ยอมรับข้อบกพร่องของผิวตัวเอง ไม่ว่าจะรอยสิว ฝ้า กระธรรมชาติ หรือคุณอาจเห็นนางแบบที่เป็นโรคด่างขาว แต่ไม่ลงรองพื้นให้สีสิวเสมอกันและแต่งหน้าเดินบนรันเวย์ด้วยความมั่นใจ เป็นการโปรโมททัศนคติเชิงบวก ส่งเสริมการรักตนเอง ความมั่นใจในตนเองและเฉลิมฉลองตัวตนที่แท้จริงโดยไม่ต้องปกปิด

7. สีที่ได้รับความนิยมในปี 2024

กลายเป็นธรรมเนียมในทุก ๆ ปีไปแล้วของบริษัทผลิตสียักษ์ใหญ่ของอเมริกาอย่าง Pantone ที่จะมาประกาศสีปีใหม่ โดยสีประจำปี 2024 คือ สี Peach Fuzz หรือสีส้มพีชอ่อนโยนที่ให้ความอบอุ่นต้อนรับปีใหม่ ๆ ด้วยหัวใจที่ฟ่องฟู เป็นสีที่แสดงถึงความอ่อนโยน การแบ่งปันและเห็นอกเห็นใจ โดย สีเหล่านี้ไม่ได้จํากัดอยู่เพียงแค่อายแชโดว์ แต่ยังได้รับความนิยมในบลัชออนและลิปสติกอีกด้วยด้วย นําเสนอสีสันที่กลมกลืนและสดชื่น

 

สรุปได้ว่าในปี 2024 เทรนด์เครื่องสําอางสไตล์ Douyin ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และเทรนด์งานผิวหลัก ๆ เน้นการสร้างผิวกระจ่างใสและใช้รองพื้นน้อยลง แต่อย่างไรก็ตามคนยุคใหม่ ๆ ได้ผสมผสานอิทธิพลยุค Y2K และยุค 90 เข้าด้วยกันอย่างสร้างสรรค์ รูปแบบคิ้วหลากหลายที่เน้นแล้วแต่บุคลิคในลุคนั้น ๆ เทรนด์สีตาสดใส บลัชลิควิดคูลโทนเน้นปัดใต้ตา และลิปกลอสที่เสริมให้ริมฝีปากอวบอิ่มเหมือนฉีดฟิลเลอร์ นอกจากนี้ยังมีอีกเทรนด์ที่น่าสนใจ คือ การแต่งหน้าแบบเปิดเผยผิว ไม่ต้องกลัวเรื่องรอบสิว หรือความบกพร่องอื่น ๆ ในธรรมชาติเพราะทุกคนไม่ได้เกิดมาเฟอร์เฟค ทุกอย่างล้วนสะท้อนการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นปัจเจกบุคคลและการเฉลิมฉลองความงามเฉพาะตัว

 

อ้างอิง

1. Beth Gillete, 10 Best Makeup Trends of 2024, Including Espresso Makeup and Matte Skin, Cosmopolitan, January 4, 2024, https://www.cosmopolitan.com/style-beauty/beauty/a46223574/makeup-trends-2024/
2. Cady Lang, Pantone’s 2024 Color of the Year Symbolizes Human Compassion and Connection, Time, December 7, 2023, https://time.com/6343525/pantone-color-of-the-year-2024/
3. Trend Update! เรามาอัพเดท เทรนด์แต่งหน้า 2024 เก็บไว้เป็นไอเดียครีเอทลุคกันดีกว่า, Hello TH, Janaury, 2024, https://th.hellomagazine.com/beauty-health/beauty/face/make-up-trend-2024/

อุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ของประเทศไทยยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำที่สำคัญในตลาดโลก ด้วยความหลากหลายและนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างกว้างขวาง ปีนี้เราจะได้เห็นเทรนด์เครื่องสำอางที่เน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่รักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น มาดูกันเพิ่มเติมว่าเทรนด์เครื่องสำอางในปี 2024 มีอัพเดทอะไรกันบ้าง

 

1. ความงามจากธรรมชาติที่ยั่งยืน

เมื่อผู้คนตระหนักถึงสภาวะโลกร้อนมากขึ้น ทำให้เทรนด์นี้เป็นที่ยอดฮิตติดอันดับตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเน้นย้ำแบรนด์ที่ไม่เพียงใช้ส่วนผสมธรรมชาติ, ออร์แกนิค, หรือวีแกนเท่านั้น แพคเกจจะต้องย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ หรือการใช้วัสดุรีไซเคิลเพื่อลดปัญหาขยะล้นโลก แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

2. ครอบคลุมและหลากหลาย

โดยในที่นี้หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้กับทุกสีผิว (universal skins tone) เพิ่มเฉดสีรองพื้นที่สีที่เข้มมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวที่แตกต่าง ตลอดจนผลิตภัณฑ์ความงามที่ไม่จํากัดเพศ ซึ่งดึงดูดผู้บริโภคทุกสถานะเพศสภาพ

3.เครื่องสําอางที่มีส่วนผสมบํารุงผิว

เส้นแบ่งความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์บํารุงผิวกับเครื่องสําอางอาจจะไม่ชัดเจน แต่ผู้คนในยุคที่ชอบเร่งรีบหรือเน้นสิ่งดี ๆ ทุกอย่างรวมในหนึ่งผลิตภัณฑ์ ก็สามารถตอบโจทย์กับคนที่รักการแต่งหน้าแต่ต้องการบำรุงผิวไปในตัว เช่น รองพื้นที่เบสออยฟรีเหมาะกับผิวที่เป็นสิว ลิปกลอสที่ผสมกรดไฮยาลูโรนิกเติมความชุ่มชื้นทั้งวัน หรือครีมบลัชออนผสมวิตามินที่ช่วยประโลมผิวแก้มบอบบาง

4. สีสันเด่นสะท้อนอารมณ์

ขณะที่ลุคเป็นธรรมชาติยังได้รับความนิยมอยู่ เทรนด์สีสันเด่นและเป็นเอกลักษณ์ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครื่องสําอางดวงตาและปาก โดยเฉพาะอายไลน์เนอร์สีสัน ช่วยให้นักแต่งหน้าครีเอทวาดเส้นบทดวงตา ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการแสดงออกและความคิดสร้างสรรค์ในไลฟ์สไตล์ความงาม

5. Clean Beauty

เทรนด์นี้แตกต่างจาก Organic ตรงที่ว่าเป็นการทำผลิตภัณฑ์ให้สารพิษส่วนผสมเป็นศูนย์ เนื่องจากผู้บริโภคตระหนักรู้และใส่ใจต่อส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์มากขึ้น ทำให้ความต้องการเครื่องสำอางค์ ปราศจากสารเคมีและส่วนประกอบที่อาจเป็นอันตราย ยังคงเป็นที่ต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ เทรนด์นี้ทำให้เขย่าวงการอย่างมากเลยทีเดียว

6. เครื่องสำอางค์สกัดจากเมล็ดกัญชง

นอกจากรัฐบาลไทยส่งเสริมกัญชาให้ถูกกฏหมาย ทำให้ทุกส่วนของกัญชาขยายตัวเป็นธุรกิจหลายแขนง ในวงการเครื่องสำอางค์ก็เช่นกัน นักวิจัยค้นพบว่าสารสกัดจากเมล็ดกัญชง เช่น น้ำมันบำรุงผิว ครีมบำรุงหน้า และแชมพู มีคุณสมบัติในการบำรุงผิว ลดการอักเสบ และช่วยให้ผิวชุ่มชื้น โดยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ง่าย การใช้กัญชงในเครื่องสำอางค์ในไทยได้รับการยอมรับมากขึ้นตามการผ่อนคลายข้อกำหนดทางกฎหมาย และตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เน้นสุขภาพและความยั่งยืน

 

เทรนด์เครื่องสําอางปี 2024 เน้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความครอบคลุมต่อความต้องการหลากหลายของผิวทุกประเภทและเพศ ท้ายสุดคือเทรนด์คลีนบิวตี้ สะท้อนถึงผู้บริโภคที่มีความตระหนักด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น สรุปแล้วสําหรับ OEM ในอุตสาหกรรมเครื่องสําอาง การปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ในปี 2024 นั้นจําเป็นอย่างยิ่ง จึงสามารถเป็นผู้นำกระแสในอุตสาหกรรมความงามที่วิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว และตอบสนองต่อความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อความงามอย่างยั่งยืนที่เพิ่มขึ้น

 

อ้างอิง

1. Liz Flora, The Biggest Beauty Trends to Watch in 2024, Bussiness of Fashion, January 08, 2024, https://www.businessoffashion.com/articles/beauty/the-biggest-beauty-trends-to-watch-in-2024/
2. Olivia Fleming & Jenna Rosenstein, The Ultimate Guide to Clean Beauty, Harper Barzaar, April 22, 2020, https://www.harpersbazaar.com/beauty/skin-care/a28352553/clean-beauty/
3. Mary Honkus, The 8 biggest makeup trend predictions of 2024, according to makeup artists, CNN Underscored, January 2, 2024, https://edition.cnn.com/cnn-underscored/beauty/most-anticipated-makeup-trends-2024

ประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอางฉบับล่าสุดในปี พ.ศ. 2562 เรื่อง “ฉลากของเครื่องสำอาง” ได้ระบุให้ผู้ที่ขายเครื่องสำอางในประเทศไทยต้องติดฉลากไว้ในที่เปิดเผยและสามารถอ่านหรือมองเห็นได้อย่างชัดเจน โดยสามารถติดไว้บนบรรจุภัณฑ์หรือตัวภาชนะบรรจุก็ได้ ซึ่งข้อความบนฉลากที่ต้องระบุไว้ มีดังนี้

1. ชื่อเครื่องสำอาง (ต้องมีขนาดใหญ่กว่าข้อความอื่น)
2. ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง
3. ชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง (ต้องเป็นชื่อตามที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนด และต้องเรียงลำดับสารตามปริมาณจากมากไปหาน้อย)
4. วิธีใช้
5. ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต
   1. กรณีที่ผลิตในประเทศไทยให้แสดงชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต
   2. กรณีที่นำเข้าเครื่องสำอางให้ระบุชื่อและที่ตั้งของผู้นำเข้าพร้อมกับชื่อผู้ผลิตและประเทศที่ผลิต

6. ปริมาณสุทธิ
7. แสดงเลขอักษรครั้งที่ผลิต
8. วันที่ผลิต โดยระบุเป็น เดือน/ปี หรือ ปี/เดือน 
9. วันหมดอายุ โดยระบุเป็น เดือน/ปี หรือ ปี/เดือน หรือความหมายในทำนองเดียวกันสำหรับเครื่องสำอางที่มีอายุการใช้น้อยกว่า 30 เดือน
10. คำเตือนตามที่กฎหมายคำหนด
11. เลขที่ใบรับจดแจ้ง

หมายเหตุ :

• ในกรณีที่ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์มีพื้นที่แสดงฉลากน้อยกว่า 20 ตารางเซนติเมตร อย่างน้อยต้องแสดงข้อความตามข้อ 1, 7, 8, 9 และ 11
• หากผู้ผลิตได้จัดทำฉลากไว้ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้บังคับใช้ ให้ทำการแก้ไขฉลากให้ถูกต้องและสามารถใช้ฉลากเดิมที่เหลืออยู่ต่อไปได้ แต่ต้องไม่เกิน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้

การแสดงชื่อของสารที่เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง

1. ให้แสดงชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง โดยแสดงชื่อของสาร ที่มีความเข้มข้นมากกว่าร้อยละ ๑ เรียงล าดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อยก่อน (ดูปริมาณสารได้จากสูตรต้นฉบับ) แล้วตามด้วยสีที่อาจใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง หรือสารที่มีความเข้มข้นน้อยกว่าร้อยละ ๑ โดยไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อย
2. การแสดงชื่อสารตามตำราที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกำหนด หมายความว่า ชื่อรายการสารตามที่ประกาศไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดชื่อ ปริมาณ และเงื่อนไข ของวัตถุที่อาจใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง ที่ออกตามความในมาตรา ๖(๓) แห่งพระราชบัญญัติ เครื่องสำอาง พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยแสดงเป็นชื่อ INCI Name (International Nomenclature of Cosmetic Ingredients) และสีที่อาจใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอางให้แสดงเป็น CI No. (Color Index Number) หรือ ในกรณีที่ไม่มี CI No. สามารถแสดงเป็นชื่อสีได้

หมายเหตุ :

• ในกรณีที่ภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์มีพื้นที่แสดงฉลากน้อยกว่า 20 ตารางเซนติเมตร อย่างน้อยต้องแสดงข้อความตามข้อ 1, 7, 8, 9 และ 11
• หากผู้ผลิตได้จัดทำฉลากไว้ก่อนวันที่ประกาศฉบับนี้บังคับใช้ ให้ทำการแก้ไขฉลากให้ถูกต้องและสามารถใช้ฉลากเดิมที่เหลืออยู่ต่อไปได้ แต่ต้องไม่เกิน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้

การแสดง เดือน ปี ที่หมดอายุ

“วันหมดอายุของเครื่องสำอาง” ตามประกาศฯ ฉบับนี้ หมายความถึง วันหมดอายุของ เครื่องสำอางที่ยังไม่ได้เปิดใช้เท่านั้น ซึ่งจะขอชี้แจงรายละเอียดการแสดงวันหมดอายุของเครื่องสำอาง โดยแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม ดังนี้

1. เครื่องสำอางที่มีอายุการใช้น้อยกว่า 30 เดือน – เครื่องสำอางที่มีวันหมดอายุน้อยกว่า 30 เดือนนับจากวันที่ผลิต ต้องแสดงวันหมดอายุที่ฉลากของเครื่องสำอางทุกผลิตภัณฑ์

2. เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมรายการสารตามบัญชีแนบท้ายประกาศนี้– ต้องแสดง วันหมดอายุที่ฉลากของเครื่องสำอาง ไม่ว่าเครื่องส าอางนั้นจะมีอายุการใช้น้อยกว่าหรือมากกว่า 30 เดือนก็ตาม ได้แก่ เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ Hydrogen peroxide และ เครื่องสำอางป้องกันแสงแดดที่มีส่วนผสมของ Avobenzone

2.1 เครื่องสำอางที่มีอายุการใช้มากกว่า 30 เดือน – เครื่องสำอางที่มีวันหมดอายุ มากกว่า 30 เดือนนับจากวันที่ผลิต ไม่ได้กำหนดให้แสดงวันหมดอายุที่ฉลากของเครื่องสำอาง แต่สามารถแสดงวันหมดอายุได้

2.2 สำหรับข้อความ “ข้อความอื่นที่มีความหมายในทำนองเดียวกัน” กับการแสดงวันหมดอายุ หมายความถึง สามารถแสดงการหมดอายุของเครื่องส าอางโดยเรียงลำดับข้อความแบบใดก็ได้ที่สื่อความชัดเจนถึงการหมดอายุของเครื่องสำอางที่ยังไม่ได้เปิดใช้ดังนี้

– สามารถใช้ตัวเลขหรือตัวอักษรเรียงลำดับแบบใดก็ได้
– สามารถแสดงเป็นปีพุทธศักราชหรือคริสต์ศักราชอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

ทั้งนี้ การแสดง วันหมดอายุ ในส่วนที่พิมพ์ไว้ที่ตัวบรรจุภัณฑ์สามารถใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษได้ แต่ต้องมีข้อความภาษาไทยกำกับและสื่อความหมายให้เข้าใจ เช่น เดือน ปี ที่หมดอายุ, หมดอายุ ปี เดือน, วันหมดอายุ, วันที่หมดอายุ, หมดอายุวันที่, วัน เดือน ปี ที่หมดอายุ, หมดอายุวัน เดือน ปี, ใช้ก่อนวันที่, ให้ใช้ก่อนวันที่ เป็นต้น และต้องแสดงวันหมดอายุที่ฉลากของเครื่องสำอางให้เห็นได้ชัดเจน หรือหากแสดงไว้ในส่วน ที่ยากแก่การมองเห็น ก็ต้องสื่อที่ฉลากให้เห็นหรือทราบด้วยว่าแสดงวันหมดอายุไว้ที่ตำแหน่งใดของผลิตภัณฑ์ เช่น วันหมดอายุแสดงที่ใต้ผลิตภัณฑ์ หรือ โปรดดูวันหมดอายุที่ใต้ผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

อ้างอิง :

1. ประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง เรื่อง ฉลากของเครื่องสำอาง พ.ศ. ๒๕๖๒. https://cosmetic.fda.moph.go.th/media.php?id=554913064823169024&name=คำชี้แจงประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอางฉลาก.pdf

การเริ่มต้นธุรกิจเครื่องสำอาง ในปี 2024 เป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่หลงใหลในผลิตภัณฑ์ความงาม ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและช่องทางการตลาดออนไลน์ที่หลากหลาย ทำให้การสร้างแบรนด์ของตัวเองกลายเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น แต่อย่างไรก็ตามจะต้องวางแผนอย่างรอบคอบในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกผลิตภัณฑ์จนถึงการออกแบบบรรจุภัณฑ์และการวางแผนการตลาดให้เข้ากับยุคดิจิทัล โดยในยุคนี้การมีกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการขายออนไลน์และการโปรโมทเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความสำเร็จของธุรกิจเครื่องสำอางค์

1. วางแผนสินค้าที่ต้องการ

ขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการสร้างแบรนด์เครื่องสำอางของคุณ ควรอาศัยการศึกษาและวิจัยที่ละเอียดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องการผลิต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ อีกทั้งหากพูดถึงคำว่าเครื่องสำอางมันจะครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์ความสวยงามหลายอย่าง คุณอาจจะเริ่มวางแผนก่อนว่าต้องการขายสินค้าแค่ประเภทเดียวเอาหรือว่าจะขายหลาย ๆ อย่างภายใต้แบรนด์ของคุณ

2. ศึกษาเทรนด์ในตลาด

การดูเทรนด์ในตลาดเป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาธุรกิจเครื่องสำอาง โดยเฉพาะในปี 2024 ที่เทรนด์สำคัญคือการเน้นย้ำผลิตภัณฑ์ยั่งยืนและส่วนผสมจากธรรมชาติ การศึกษากลุ่มเป้าหมายของคุณและเทรนด์ที่นิยมช่วยให้คุณพัฒนาสินค้าที่ตรงกับความต้องการกับกลุ่มลูกค้าได้ ด้วยการใช้โซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มออนไลน์ในการติดตามเทรนด์ จะช่วยให้คุณตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่และเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์

3. หาโรงงานรับผลิตที่ได้มาตรฐาน

หลังจากที่คุณพอจะมองออกแล้วว่าสินค้าของคุณจะเป็นอะไรก็ให้หาโรงงานรับผลิตเครื่องสำอางที่ต้องการ โดยโรงงานที่เป็น OEM ส่วนใหญ่จะมีบริการให้คุณแบบครบวงจรทั้งให้คำปรึกษา แกะสูตรผลิตภัณฑ์ ทดสอบสูตรใหม่ ๆ ออกแบบบรรจุภัณฑ์/โลโก้ หรืออื่น ๆ อีกมากมาย ที่สำคัญอย่าลืมเลือกเฉพาะโรงงานที่ได้มาตรฐานและมีใบอนุญาตต่าง ๆ อย่างถูกต้อง

4. ค้นหาสูตรผลิตภัณฑ์ที่คุณชื่นชอบ

หลังจากเลือกโรงงานที่มีมาตรฐาน คุณควรนำเสนอสูตรหรือความคิดเริ่มต้นของผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการ ซึ่งการค้นหาสูตรผลิตภัณฑ์ที่คุณชื่นชอบเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างแบรนด์ โดยมีการทดลองสารสกัดหรือส่วนผสมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มคุณสมบัติเฉพาะของผลิตภัณฑ์ การทำงานร่วมกับโรงงานที่มีประสบการณ์จะช่วยให้คุณสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและสร้างเอกลักษณ์ โดยการทดสอบสูตรก่อนการผลิตเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค

5. ทดสอบสินค้า

เมื่อคุณได้สูตรสินค้าตามต้องการ การทดสอบสินค้าเป็นขั้นตอนที่จำเป็น เพื่อตรวจสอบว่าผลิตภัณฑ์ที่กำลังพัฒนานั้นตอบโจทย์ความต้องการและมีคุณภาพตามที่คาดหวังหรือไม่ หลังจากที่คุณได้รับสูตรสินค้าที่พึงพอใจ คุณควรขอตัวอย่างผลิตภัณฑ์จากโรงงาน ทดลองใช้เพื่อดูผลลัพธ์ที่ได้ และการเก็บข้อมูลฟีดแบ็คจากผู้ใช้จริง การทดสอบช่วยให้คุณตรวจจับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก่อนการผลิตจำนวนมากและให้โอกาสในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้น

6. วางแผนการตลาด

ขณะที่รอตัวอย่างสูตรสินค้าที่คุณต้องการ การวางแผนการตลาดเป็นขั้นตอนสำคัญที่ควรดำเนินการพร้อมกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การวางแผนการตลาดควรรวมถึงการตัดสินใจเกี่ยวกับชื่อแบรนด์ การเลือกช่องทางการจำหน่าย และการออกแบบที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ นอกจากนี้กำหนดกลยุทธ์การตลาด ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้โซเชียลมีเดีย การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ หรือการจัดกิจกรรมโปรโมชั่นที่น่าสนใจ

7. ออกแบบบรรจุภัณฑ์

ในการสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์เครื่องสำอาง การออกแบบบรรจุภัณฑ์เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมาก เมื่อคุณมีแผนการตลาดที่ชัดเจนแล้ว เริ่มต้นการออกแบบโลโก้และบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์และค่านิยมของแบรนด์ โดยการออกแบบควรสื่อสารชัดเจนเกี่ยวกับประเภทของผลิตภัณฑ์, คุณภาพ, และความแตกต่างที่มีเหนือคู่แข่งอย่างไร นอกจากนี้ การพิจารณาเรื่องความยั่งยืนของบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้หรือมีผลกระทบต่ำต่อสิ่งแวดล้อม ก็กลายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้นในปัจจุบัน

8. สั่งผลิต

ขั้นตอนสุดท้ายในการสร้างแบรนด์เครื่องสำอาง คือการสั่งผลิตกับโรงงาน หลังจากที่คุณได้สูตรและบรรจุภัณฑ์ที่ต้องการแล้ว การสั่งผลิตควรเน้นทั้งคุณภาพและเวลาการผลิตที่แม่นยำ สื่อสารกับโรงงานให้ชัดเจนและการมีการจัดการสินค้าคงคลังที่ดี จะช่วยให้ธุรกิจของคุณพร้อมเผชิญกับการแข่งขันในตลาดและเติบโตอย่างยั่งยืน

 

อ้างอิง :

1. 10 ขั้นตอนง่าย สู่การเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง.
https://www.locopack.co/th/articles/4#

เครื่องสำอางทุกชนิดหลายคนอาจจะเห็นสัญลักษณ์ต่าง ๆ บนฉลากผลิตภัณฑ์ ซึ่งผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของแบรนด์ควรทำความรู้จักกับสัญลักษณ์เหล่านี้ไว้เพื่อใช้ในการสื่อสารกับผู้บริโภคโดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และช่วยให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่เหมาะกับความต้องการของแต่ละคนได้ โดยสัญลักษณ์ที่เป็นสากลเหล่านั้น คือ

 

1. Green Dot

 

สัญลักษณ์ลูกศรที่เชื่อมกันในวงกลมนั้นแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมเนื่องจากรายได้จะนำไปมอบให้แก่องค์กรที่ดูแลเรื่องการกำจัดขยะบรรจุภัณฑ์อย่างถูกวิธี 

 

2. PAO (Period After Opening)

สัญลักษณ์รูปกระปุกเปิดฝานี้จะเห็นได้แทบทุกผลิตภัณฑ์เนื่องจากมันเป็นตัวที่บ่งบอกว่าเครื่องสำอางที่เราใช้มีอายุการใช้งานกี่ปีหลังจากที่ผลิตภัณฑ์ถูกเปิดใช้แล้ว ส่วนใหญ่จะบอกว่ากี่เดือน เช่น 3M, 6M, 12M, 24M 

 

3. Best Before End of (of)

สัญลักษณ์รูปนาฬิกาทรายคือตัวที่บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์มีอายุการใช้งานถึงเมื่อไหร่ซึ่งจะระบุเป็นวันหมดอายุบางครั้งจะใช้เป็นตัวอักษรย่อ BBE หรือ EXP

 

4. สัญลักษณ์ที่แสดงว่าไม่ใช้สัตว์ในผลิตภัณฑ์

 

มีสัญลักษณ์รูปกระต่ายหลายแบบที่บอกว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้ทดลองกับสัตว์ เช่น สัญลักษณ์ “Cruelty free” “Leaping Bunny” หรือ “Not Tested on Animals” ทั้งหมดเหล่านี้คือรูปแบบสากลที่ยืนยันว่าไม่มีการทดลองกับสัตว์ในทุกขั้นตอนของการผลิต ไม่ว่าจะเป็นส่วนผสมหรือสินค้าสำเร็จรูป การทดลองนี้ไม่รวมถึงการทดสอบในหลอดทดลองหรือกับอาสาสมัครมนุษย์ สัญลักษณ์นี้มีมาตรฐานและได้รับการรับรองจากหน่วยงาน Coalition for Consumer Information on Cosmetics (CCIC) ที่อเมริกาและแคนาดา

 

5. Cruelty-free bunny

สัญลักษณ์นี้เป็นการรับรองจากโปรแกรม People for the Ethical Treatment of Animals (PETA) ซึ่งยืนยันว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่ได้ทดสอบกับสัตว์ ตั้งแต่ขั้นตอนการเลือกส่วนผสม, การกำหนดสูตร, จนถึงกระบวนการผลิต สัญลักษณ์นี้ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ไม่ทำร้ายสัตว์ และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในประเทศอเมริกา

 

6. Not Tested on Animals

เป็นการรับรองว่าผลิตภัณฑ์ไม่ได้ทำการทดสอบกับสัตว์ และมีมาตรการเข้มงวดเกี่ยวกับการใช้ส่วนผสมที่มาจากสัตว์ การรับรองนี้ดำเนินการโดยองค์การในประเทศออสเตรเลีย ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่ทำร้ายสัตว์และปลอดภัยต่อการใช้งาน

 

7. Certified Vegan

สัญลักษณ์ “วีแกน” เป็นการยืนยันจากองค์การ Vegan Awareness Foundation ว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่ทำร้ายสัตว์และไม่มีส่วนผสมที่มาจากสัตว์ ผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์นี้จะไม่ใช้เนื้อสัตว์, ปลา, ไก่, หรือผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากสัตว์ เช่น ผ้าไหมหรือสีย้อมจากแมลง, ไข่, นม, น้ำผึ้ง นอกจากนี้ยังไม่มีการทดสอบส่วนผสมหรือผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปกับสัตว์ และไม่มีส่วนผสมของ GMO ที่มาจากสัตว์ สัญลักษณ์นี้เป็นที่นิยมในอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

 

8. Refer To Insert

สัญลักษณ์รูปมือชี้บนหนังสือมักจะอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่มีชิ้นเล็กมากจนไม่สามารถใส่รายละเอียดสินค้าได้ ซึ่งจะหมายถึงมีแผ่นพับเกี่ยวกับสินค้าเพิ่มเติม

 

9. E-mark

สัญลักษณ์ตัวอักษร ‘e’ หมายความว่าสินค้านั้นได้รับการรับรองจากสหภาพยุโรปในเรื่องของปริมาณและน้ำหนักว่าสินค้าตัวนี้มีปริมาณและน้ำหนักที่ระบุไว้อย่างแท้จริง

 

10. Mobius loop

สัญลักษณ์รูปลูกศร 3 ดอกที่เรียงกันเป็นรูปสามเหลี่ยมนี้ หมายความว่าภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์สามารถนำไปรีไซเคิลได้ โดยแต่ละดอกหมายถึง Recycling, Recyclale และ Recycled Product 

 

11. Ecocert

สัญลักษณ์นี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ  COSMOS ORGANIC CERTIFICATION และ COSMOS NATURAL CERTIFICATION ซึ่งหากเห็นคำว่า Organic จะหมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมจากออร์แกนิกมากกว่า 95% ส่วน Natural จะหมายความว่ามีส่วนผสมของออร์แกนิกมากกว่า 50%

 

12. Open Flame

สัญลักษณ์รูปไฟก็จะสื่อความหมายตามรูปโดยตรงเลยว่าผลิตภัณฑ์นี้สามารถก่อให้เกิดประกายไฟได้เพราะมีส่วนผสมจำพวกแอลกอฮอล์หรือสารขับดันในสเปรย์ ดังนั้นควรเก็บให้ห่างจากพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง

 

13. Halal Certified 

สัญลักษณ์เครื่องหมายฮาลาลจะแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ได้ผ่านกระบวนการผลิตตามมาตรฐานฮาลาลซึ่งก็คือจะไม่มีส่วนผสมของสุกร รวมถึงส่วนผสมอื่น ๆ ที่ผิดต่อหลักของศาสนา เช่น สัตว์เลื้อยคลานหรือแมลง 

 

อ้างอิง :

1. เครื่องหมายสัญลักษณ์บนฉลากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง มีความหมายว่าอย่างไร.
www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/541/สัญลักษณ์บนเครื่องสำอาง/